อุตสาหกรรมไมซ์ของไทยกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากช่วงวิกฤตโควิด-19 แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ธุรกิจยังไม่กลับมาแข็งแกร่งเต็มที่ ขณะเดียวกัน โลกธุรกิจก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว 

     หลังจากที่ทุกคนปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล และยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจาก AI อีกครั้ง คำถามคือ อุตสาหกรรมไมซ์ไทยจะก้าวต่อไปอย่างไรในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงนี้

การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมไมซ์ไทย: การวิเคราะห์ภูมิทัศน์หลังยุคโควิด-19

     การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านตัวเลขที่เติบโตขึ้น หลังอุตสาหกรรมหยุดชะงักอย่างรุนแรงจากโรคระบาดในปี 2020 ทำให้จำนวนการจัดงานลดลงถึง 78.7% เมื่อเทียบกับปี 2019 อุตสาหกรรมได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว ในปี 2024 อุตสาหกรรมไมซ์สามารถดึงดูดนักเดินทางทั้งในและต่างประเทศได้ถึง 25,350,288 คน สร้างรายได้ 148,341 ล้านบาท และสร้างผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) คิดเป็นมูลค่ากว่า 309,000 ล้านบาท หรือ 1.67% ของ GDP ทั้งหมด

     ในปี 2025 ก็มีความท้าทายใหม่ในเรื่องเศรษฐกิจโลกที่กระทบมายังประเทศไทย และตัวเลขนักเดินทางไมซ์ที่ลดลงจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน โดยองค์กรระหว่างประเทศอย่างธนาคารโลก (World Bank) และ OECD ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP โลกเหลือสูงสุดประมาณ 2.9% จาก 3.3% ในปี 2024 ปัจจัยหลักเกิดจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และภาวะการเงินโลกที่ตึงตัว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและการลงทุนทั่วโลก สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลักเช่นประเทศไทย ซึ่งต้องเตรียมรับมือกับอุปสงค์จากต่างประเทศที่อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

     ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกได้ส่งผ่านมายังประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ สะท้อนผ่านการปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2025 ของไทยจากหลายสำนัก โดยธนาคารโลกปรับลดเหลือเพียง 1.8% ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ในกรอบ 1.3% ถึง 2.3% การชะลอตัวนี้เกิดจากการส่งออกที่คาดว่าจะเติบโตในระดับต่ำ การลงทุนภาคเอกชนที่ซบเซาจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก และกำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบางจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ภาวะแรงกดดันสองด้านทั้งจากปัจจัยภายนอกที่อ่อนแอและปัจจัยภายในที่เปราะบางนี้ ทำให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมขาดแรงขับเคลื่อนที่สำคัญและมีความเสี่ยงที่จะเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ

     ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก แม้จะมีการตั้งเป้าหมายเชิงรุกในปี 2025 ที่ 34 ล้านคน และสร้างรายได้ 2 แสนล้านบาท แต่แนวโน้มที่แท้จริงกลับสวนทางกัน โดยคาดว่าจำนวนนักเดินทางไมซ์จะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากภาคธุรกิจทั่วโลกที่ดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด ลดงบประมาณการเดินทางและการจัดงานซึ่งถูกมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ประกอบกับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้องค์กรต่าง ๆ หลีกเลี่ยงการเดินทางไกล และการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้การตัดสินใจเข้าร่วมหรือจัดงานในประเทศไทยลดน้อยลง

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและผลกระทบเชิงกลยุทธ์

     ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นเสมือนลมต้านที่ผู้ประกอบการไมซ์ต้องเผชิญและปรับกลยุทธ์เพื่อนำพาธุรกิจให้รอดพ้นและเติบโตต่อไป

ภัยคุกคามคู่ขนาน: สงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

     ความท้าทายหลักมาจากสองปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกัน ประการแรกคือ สงครามการค้า โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการตัดสินใจลงทุนของบริษัทข้ามชาติ สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่องานแสดงสินค้า ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษี ประการที่สองคือภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความเสี่ยงจากภาวะ "Mild Stagflation" (เศรษฐกิจเติบโตต่ำแต่เงินเฟ้อสูง) ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้นและบีบให้องค์กรต่าง ๆ ต้องรัดเข็มขัดและจำกัดงบประมาณสำหรับการเดินทางและจัดกิจกรรม ซึ่งเป็นข้อจำกัดโดยตรงต่อการเติบโตของตลาดไมซ์ทั่วโลก

จากภัยคุกคามสู่โอกาส: การปรับเปลี่ยนตำแหน่งเชิงกลยุทธ์

     ในความผันผวนย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ สถานการณ์โลกที่แบ่งขั้วอำนาจมากขึ้นได้กลายเป็น "โอกาสทอง" สำหรับประเทศไทยในการวางตำแหน่งตนเองเป็น พื้นที่ปลอดภัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ความเป็นกลางของไทย ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานด้านไมซ์ ทำให้ไทยกลายเป็นเวทีที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจจากชาติต่าง ๆ ที่ต้องการหาตลาดใหม่ เจรจาการค้า หรือปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้ง โอกาสของการเปลี่ยนบทบาทของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยจากผู้จัดงานทั่วไป ไปเป็น "แหล่งประชุมที่ให้คุณค่าสูง" (High Value-Added Destination) และ "สปริงบอร์ดแห่งการเติบโตของเอเชีย" (Springboard of Asia's Growth) ซึ่งดึงดูดงานแสดงสินค้า B2B และการประชุมระดับสูงจากนานาชาติ

     ภาวะเศรษฐกิจที่บีบรัดได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ "อีเวนต์ที่เน้นคุณค่าและผลกระทบสูง" (Value-Conscious, High-Impact Event) กล่าวคือ องค์กรต่าง ๆ ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น แต่เมื่อตัดสินใจเดินทางหรือจัดงานแล้ว พวกเขาต้องการผลตอบแทนที่คุ้มค่าสูงสุด ทั้งในแง่ของธุรกิจและประสบการณ์ที่ได้รับ สถานการณ์นี้เข้าทางจุดแข็งที่สุดของประเทศไทย นั่นคือ "ความคุ้มค่า" ความท้าทายของผู้ประกอบการไทยจึงอยู่ที่การส่งมอบประสบการณ์ระดับพรีเมียม มีผลกระทบสูง เป็นส่วนตัว และยั่งยืน ภายใต้โครงสร้างต้นทุนที่ยังคงแข่งขันได้ ซึ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

การตอบสนองเชิงกลยุทธ์: การกระจายความเสี่ยงและความคล่องตัว

     เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ กลยุทธ์ที่สำคัญคือการกระจายความเสี่ยงและการสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน อุตสาหกรรมไมซ์ไทยได้เรียนรู้ที่จะไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป เช่น ตลาดยุโรปในอดีต หรือตลาดจีนในปัจจุบัน การที่ทีเส็บมีนโยบายเชิงรุกในการเจาะตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มประเทศ BRICS ถือเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายนี้โดยตรง ในท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถหลัก (Core Competency) ที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการไมซ์ในอนาคตคือ "ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว" (Flexibility & Resilience) เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในทุกสถานการณ์

การปฏิวัติทางดิจิทัล: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในฐานะเครื่องยนต์ใหม่เพื่อการเติบโตของอุตสาหกรรมไมซ์


     การเปลี่ยนแปลงที่ทรงพลังที่สุดที่กำลังกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมไมซ์คือการปฏิวัติทางดิจิทัล โดยมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเทคโนโลยีหัวหอก AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเสริมอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ผ่านการพลิกโฉมกระบวนการทำงานในทุกมิติ ตั้งแต่การดำเนินงานภายในไปจนถึงการส่งมอบประสบการณ์แก่ผู้เข้าร่วมงาน

การพลิกโฉมด้วยพลังของ AI: การปรับโครงสร้างห่วงโซ่คุณค่าของไมซ์

     AI กำลังเข้ามาปฏิรูปห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมไมซ์ใน 3 ด้านหลัก ดังนี้

  • ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน (Operational Efficiency): AI ช่วยให้การทำงานเป็นไปโดยอัตโนมัติ ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร และลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมีกรณีศึกษาอย่าง     
    • แชทบอท (Chatbots): ให้บริการตอบคำถามและให้ข้อมูลแก่ผู้เข้าร่วมงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดภาระของเจ้าหน้าที่
    • การจดจำใบหน้า (Facial Recognition): ทำให้กระบวนการลงทะเบียนและเข้างานรวดเร็วและราบรื่นขึ้นกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบกับวิธีดั้งเดิม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย
    • การกำหนดราคาแบบไดนามิก (Dynamic Pricing): AI วิเคราะห์ข้อมูลความต้องการและช่วงเวลาเพื่อปรับราคาพื้นที่จัดงานให้เหมาะสมที่สุด ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับสถานที่จัดงาน ซึ่งมีตัวอย่างสถานที่จัดงานที่เอา AI มาวิเคราะห์ข้อมูลการจองสถานที่ในอดีตร่วมกับปฏิทินการจัดงานเพื่อปรับราคาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ผลคือทำให้กำไรเพิ่มขึ้น 15% ใน 6 เดือน
    • ใช้ AI ช่วยวางแผนการบำรุงรักษาสถานที่จัดงาน (Predictive Maintenance): AI ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ และแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดปัญหา ช่วยลดการหยุดชะงักของงาน เช่นการติดตั้งเซนเซอร์ในระบบปรับอากาศ แล้วใช้ AI คอยวิเคราะห์ค่าต่าง ๆ เช่นการสั่นของมอเตอร์ ความชื้น อุณหภูมิ เพื่อรู้ตัวว่าเกิดปัญหาให้เร็ว และแก้ไขก่อนเกิดปัญหาจริง
    • การจัดการฝูงชนและการเดินทาง (Crowd & Transport Management): AI ช่วยวิเคราะห์การเคลื่อนที่ของฝูงชนเพื่อป้องกันความแออัด และวางแผนเส้นทางการเดินทางของผู้เข้าร่วมงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งกรณีนี้มีตัวอย่างในงานสเกลใหญ่ในต่างประเทศที่ต้องจัดในหลายศูนย์การแสดง ผู้เข้าร่วมงานต้องเดินทางระหว่างศูนย์ในงาน
  • การสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลขั้นสูง (Hyper-Personalization): AI คือกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนอีเวนต์ที่มีลักษณะ "หนึ่งขนาดสำหรับทุกคน" (One-size-fits-all) ไปสู่ประสบการณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้เข้าร่วมงานแต่ละคนโดยเฉพาะ ซึ่งช่วยเพิ่มความผูกพัน (Engagement) และคุณค่าที่ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับอย่างมหาศาล ซึ่งมีการใช้งานที่น่าสนใจคือ
    • วาระการประชุมและเนื้อหาส่วนบุคคล: AI วิเคราะห์ข้อมูลโปรไฟล์และความสนใจของผู้เข้าร่วมงาน (ทั้งข้อมูลที่ลงทะเบียนและพฤติกรรมการใช้งานในอดีต) เพื่อแนะนำเซสชัน สัมมนา หรือวิทยากรที่เกี่ยวข้องที่สุด
    • การจับคู่เครือข่ายอัจฉริยะ (Intelligent Networking): AI ทำหน้าที่เป็น "ผู้จับคู่ทางธุรกิจ" โดยแนะนำให้ผู้เข้าร่วมงานได้รู้จักกับบุคคลที่มีความสนใจหรือเป้าหมายทางธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน ช่วยให้การสร้างเครือข่ายมีประสิทธิภาพและตรงจุดมากขึ้น กรณีศึกษาของ Clarion Events พบว่าการใช้ AI Matchmaking ช่วยเพิ่มจำนวนการนัดหมายทางธุรกิจได้ถึง 44%
  • การวัดผลตอบแทนจากการลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven ROI): ในอดีต การวัดผลความสำเร็จของอีเวนต์มักเป็นเรื่องยากและอาศัยความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ แต่ AI ได้มอบเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและโปร่งใส
    • กรณีศึกษาการใช้งาน: แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถติดตามและวัดผลตัวชี้วัดสำคัญ (KPIs) ได้แบบเรียลไทม์ เช่น ระดับความผูกพันของผู้เข้าร่วมงาน, จำนวนลูกค้าเป้าหมาย (Leads) ที่สร้างได้, การรับรู้แบรนด์ผ่านโซเชียลมีเดีย และที่สำคัญคือยอดขายที่เกิดขึ้นจากอีเวนต์นั้น ๆ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ผู้จัดงานสามารถพิสูจน์คุณค่าของอีเวนต์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเพื่อปรับปรุงการจัดงานในครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้น

ความท้าทายที่สำคัญสำหรับ MICERs ยุคใหม่
     การจะนำศักยภาพของ AI และดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น ผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมไมซ์ (MICERs) ต้องเผชิญและก้าวข้ามอุปสรรคที่สำคัญ 3 ประการ
ความจำเป็นเร่งด่วนด้านทักษะดิจิทัล (The Digital Skills Imperative): นี่คือความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด มีการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเกิด "ช่องว่างทางทักษะ" (Skills Gap) ขึ้นในอุตสาหกรรม ผลสำรวจชี้ว่า 72% ของผู้จัดงานอีเวนต์จัดอันดับให้ทักษะดิจิทัลเป็นสิ่งที่ต้องการพัฒนามากที่สุด องค์กรจำนวนมากยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการตลาดดิจิทัล สถานการณ์นี้เรียกร้องให้เกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในการยกระดับทักษะ (Upskilling) และการสร้างทักษะใหม่ (Reskilling) ให้กับบุคลากรอย่างเร่งด่วน

  • ความจำเป็นเร่งด่วนด้านทักษะดิจิทัล (The Digital Skills Imperative): นี่คือความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด มีการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเกิด "ช่องว่างทางทักษะ" (Skills Gap) ขึ้นในอุตสาหกรรม ผลสำรวจชี้ว่า 72% ของผู้จัดงานอีเวนต์จัดอันดับให้ทักษะดิจิทัลเป็นสิ่งที่ต้องการพัฒนามากที่สุด องค์กรจำนวนมากยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการตลาดดิจิทัล สถานการณ์นี้เรียกร้องให้เกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในการยกระดับทักษะ (Upskilling) และการสร้างทักษะใหม่ (Reskilling) ให้กับบุคลากรอย่างเร่งด่วน
  • ธรรมาภิบาลข้อมูลและความปลอดภัย (Data Governance and Security): การใช้ AI เพื่อสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลนั้นต้องอาศัยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ผู้จัดงานต้องได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูลและปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด เช่น PDPA ของไทย และ GDPR ของยุโรป นอกจากนี้ การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อป้องกันข้อมูลที่ละเอียดอ่อนรั่วไหลถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการสร้างและรักษาความไว้วางใจ
  • อุปสรรคในการนำเทคโนโลยีมาใช้ (Technology Adoption Barriers): อุปสรรคหลักที่ขัดขวางการนำเทคโนโลยีมาใช้ในวงกว้างคือ ต้นทุนที่สูงของโซลูชัน AI, ความซับซ้อนในการเชื่อมต่อระบบใหม่เข้ากับระบบเดิมที่มีอยู่ และความยากลำบากในการโน้มน้าวให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเห็นชอบและอนุมัติการลงทุน

     การวิเคราะห์ในเชิงลึกเผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างปัจจัยเหล่านี้ ประการแรก กลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดไม่ใช่การแทนที่ "การบริการที่เข้าถึงใจ" (High-Touch) ด้วย "เทคโนโลยีขั้นสูง" (High-Tech) แต่เป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อ "ส่งเสริม" ให้การบริการที่เปี่ยมด้วยมนุษยสัมพันธ์นั้นมีประสิทธิภาพและขยายผลได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น AI Matchmaking ไม่ได้มาแทนที่การสร้างเครือข่าย แต่ช่วยให้การพบปะกันของมนุษย์มีคุณภาพและตรงเป้าหมายมากขึ้น

     ประการที่สอง "ข้อมูล" คือสิ่งแลกเปลี่ยนใหม่ของยุคดิจิทัล แต่ "ความไว้วางใจ" คือรากฐานที่ค้ำจุนให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น การมีธรรมาภิบาลข้อมูลที่แข็งแกร่งจึงไม่ใช่แค่ภาระทางกฎหมาย แต่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพของ AI   สุดท้าย แม้จะมีความเสี่ยงที่จะเกิด "ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล" (Digital Divide) ภายในอุตสาหกรรมเอง โดยที่ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถลงทุนในเทคโนโลยีและทิ้งห่างคู่แข่งรายย่อย  แต่วิกฤตนี้ ก็อาจกลับกลายเป็นโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยเทคโนโลยี AI ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่ลดลง ทำให้สามารถสร้างศักยภาพการทำงานและลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมไมซ์ไทย

     เพื่อให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและรักษาความสามารถในการแข่งขันในโลกยุคดิจิทัล การปรับตัวอย่างมีกลยุทธ์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรามีข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการและผู้ดำเนินธุรกิจไมซ์คือ

  • พัฒนากลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างเป็นขั้นตอน: การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นทั้งหมดในคราวเดียว ผู้ประกอบการควรเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ที่สร้างผลกระทบได้สูง (High-impact areas) เช่น การนำระบบลงทะเบียนอัตโนมัติหรือแชทบอทมาใช้ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและสร้างความคุ้นเคย ก่อนที่จะขยายผลไปยังส่วนอื่น ๆ ที่ซับซ้อนขึ้น
  • ลงทุนในทุนมนุษย์เป็นอันดับแรก: เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดจะไร้ค่าหากไม่มีบุคลากรที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ การจัดลำดับความสำคัญในการยกระดับทักษะ (Upskilling) และสร้างทักษะใหม่ (Reskilling) ให้กับพนักงานในด้านความเข้าใจดิจิทัล (Digital Literacy), การวิเคราะห์ข้อมูล และการตลาดดิจิทัล ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด พร้อมทั้งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
  • ยึดมั่นในโมเดล "High-Tech, High-Touch": ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการหลังบ้าน เพื่อให้บุคลากรแนวหน้า มีเวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการส่งมอบบริการที่เป็นเลิศและสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับลูกค้า หัวใจสำคัญคือการใช้ AI เพื่อเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทดแทน
  • บูรณาการความยั่งยืนเพื่อสร้างความแตกต่าง: ความยั่งยืนไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากขึ้น ผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อติดตามและปรับปรุงตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน เช่น การใช้พลังงาน การจัดการขยะ และการมีส่วนร่วมกับชุมชน เพื่อสร้างจุดขายที่แตกต่างและตอบสนองความต้องการของตลาด
  • ปรับเปลี่ยนสู่แนวคิดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Mindset): เปลี่ยนจากการตัดสินใจที่อิงจากสัญชาตญาณ มาสู่การตัดสินใจที่อิงจากข้อมูลที่เป็นรูปธรรม จัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของอีเวนต์, ความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมงาน และประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อขับเคลื่อนการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

การกำหนดทิศทางสู่อนาคตที่ยืดหยุ่นและเปี่ยมด้วยนวัตกรรม

     อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังโควิด-19 ธุรกิจต่าง ๆ เรียนรู้ที่จะปรับตัวและเติบโตในสภาพแวดล้อมใหม่ การก้าวต่อไป ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

     ถัดจากนี้ อุตสาหกรรมไมซ์อาจไม่ใช่การต้องเลือกระหว่างเทคโนโลยีหรือวิถีการทำงานแบบดั้งเดิม แต่ต้องหลอมรวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันอย่างมีกลยุทธ์ การมาถึงของเทคโนโลยี AI  ต่ออนาคตของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ AI เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ AI เพื่อยกระดับจุดเด่นของไทยอย่างการบริการที่เข้าถึงใจ และประเพณีไทยให้ประจักษ์

     ผู้นำในอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในทศวรรษหน้าคือผู้ที่สามารถผสานประสิทธิภาพและการสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI เข้ากับเสน่ห์ของไทย แนวทาง "High-Tech, High-Touch" นี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอุตสาหกรรมที่ยืดหยุ่น แข่งขันได้ และยั่งยืน ซึ่งจะช่วยตอกย้ำและรักษาตำแหน่งของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางไมซ์ชั้นนำของเอเชียและของโลกต่อไปในอนาคต